วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วิเคราะห์ข้อโต้แย้งจากหนังสือ เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญ ตอนที่ ๑

กลุ่มเสรีไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
หากใครเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือในแนวบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ด้วยการนำมาเล่าผ่านตัวอักษรอย่างมีอรรถรสแล้วละก็ คงจะไม่พลาดกับหนังสือเล่มนี้ "เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญฯ" ของคุณวิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ที่มีลีลาในการเล่าเรื่องของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์เอาไว้อย่างสนุก
และโดยปกติกิจวัตรประจำวันของผมอย่างหนึ่งก็คือ การเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่ออ่านอะไรไปเรื่อย สำหรับเก็บข้อมูลไว้ใช้ในการทำงาน แล้วก็มาสะดุดเอาบทความของมติชนออนไลน์ ที่เขียนโดยคุณดอม  ด่านตระกูล เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อโต้แย้งกรณีสวรรคตในหนังสือ   เอกกษัตริย์ใต้รัฐธรรมนูญฯ ของคุณวิมลพรรณ ผมเห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เพื่อเราจะได้ข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ถูกบิดเบือนรอยต่อไว้ให้เยาวชนรุ่นหลังได้ทราบ ซึ่งบทความดังกล่าวผมขอยกมาไว้ดังนี้ครับ
คุณพ่อ (สุพจน์ ด่านตระกูล) ของคุณดอม ด่านตระกูลเป็นผู้ที่ติดตามและนำเสนอข้อมูลในเรื่องกรณีสวรรคตมาอย่างที่สื่อมวลชนบางท่านนินทาว่า กัดไม่ปล่อย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนานจนได้รับรางวัลเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป ในฐานะนักเขียนดีเด่น คุณดอมจึงนำข้อเท็จจริงมาตอบโต้ เพื่อที่ผู้อ่านจำนวนมากจะได้ไม่เข้าใจผิดตามถ้อยความที่ไม่ตรงกับความจริงของคุณ วิมลพรรณ ปิตธวัชชัยโดยเฉพาะข้อมูลบางตอนที่ถูกนำมาเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์มติชนและ www.matichon.co.th อยู่ในขณะนั้น
๑. จากหนังสือเรื่อง ข้าวของพ่อ ในหน้า ๔๒ (ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒)  ที่คุณวิมลพรรณได้เขียนบรรยายไว้ว่า  หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ประเทศไทยซึ่งตกอยู่ในฐานะผู้พ่ายแพ้สงคราม เพราะเป็นมิตรกับญี่ปุ่นนั้นก็ถูกฝ่ายสัมพันธมิตร บังคับให้ส่งข้าวไปชดใช้ค่าสงครามถึงปีละ ๑ ล้าน ๕ แสนตัน ข้าวไม่เพียงแต่เลี้ยงคนไทยให้อยู่รอด ไม่อดตาย และผ่านสงครามอันร้ายกาจมาได้เท่านั้น ข้าวยังได้ช่วยชาติให้พ้นภัยในฐานะผู้พ่ายแพ้อีกด้วย
 แต่จากเอกสารหลักฐานที่พิสูจน์ได้กลับตรงกันข้าม
 ๑. ประเทศไทยไม่เคยตกอยู่ในฐานะผู้พ่ายแพ้สงคราม เพราะคุณูปการของขบวนการเสรีไทย ทำให้เราสามารถประกาศสันติภาพได้ในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๔๕ และท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการในขณะนั้นได้ประกาศในนามของประชาชนชาวไทยว่าการประกาศสงครามของไทยต่อสหรัฐอเมริกาและบริเตนใหญ่เป็นโมฆะ รัฐบาลไทยต่อมาได้กำหนดให้วันที่ ๑๖ สิงหาคม เป็นวันสันติภาพไทย และได้มีงานเฉลิมฉลอง
 แต่ต่อมาในยุคเผด็จการครองเมือง และยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ วันชาติ ๒๔ มิถุนายน และ วันสันติภาพ ๑๖ สิงหาคม ถูกทำให้เลือนหายไปจากความทรงจำของประชาชน จนกระทั่งในวันที่ ๑๐  มิถุนายน ๒๕๔๕ จึงได้มีคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรี ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเปิดอาคารเสรีไทยอนุสรณ์ที่ตั้งอยู่ ณ สวนเสรีไทย เขตบึงกุ่ม (อ่านเพิ่มเติมได้จาก คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗๑/๒๕๔๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเปิดอาคารเสรีไทยอนุสรณ์) และต่อมาได้มีการจัดกิจกรรมรำลึกถึงวันสันติภาพไทย ทุกวันที่ ๑๖ สิงหาคม เป็นประจำทุกปี
 ๒.  ที่คุณวิมลพรรณ เขียนว่า ไทยถูกฝ่ายสัมพันธมิตร บังคับให้ส่งข้าวไปชดใช้ค่าสงครามถึงปีละ ๑ ล้าน ๕ แสนตัน นั้น ความจริงไม่ใช่ปีละ ๑ ล้าน ๕ แสนตัน แต่เป็นจำนวนทั้งหมด ๑.๕ ล้านตัน ไม่ใช่ต่อปี (ให้ครบ ๑.๕ ล้านตันเมื่อไรก็จบกัน)
แต่สุดท้ายแล้วในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๑๙๔๖ อังกฤษยอมปรับปรุงสนธิสัญญาข้อนี้เป็นให้ไทยขายข้าวในราคาถูกให้อังกฤษ ๑.๒ ล้านตันแทนการให้เปล่า โดยความสามารถของรัฐบาลไทยในขณะนั้น (ปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี) ที่ได้ทำการเจรจาเป็นผลสำเร็จสรุปว่า ไทยต้องให้ข้าวแก่อังกฤษเปล่าๆทั้งหมดเพียง ๑๕๐,๐๐๐ ตัน เท่านั้น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้หาอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ
§  ไทยกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ ของคุณดิเรก ชัยนาม
§  วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๙ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจข้าวในภาคกลางกับผลกระทบต่อสังคมไทย ช่วงพ.ศ.๒๔๖๐-๒๔๙๘ ของ ธรรมรักษ์ จำปา
§ หนังสือการวิเทโศบายของไทยระหว่างปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ ถึง ๒๔๙๕ ของ ของดร.กนต์ธีร์ ศุภมงคล
§ เว็บไซด์ฐานข้อมูลการเมืองการปกครองสถาบันพระปกเกล้าฯ
เอกสารหลักฐานสำคัญอีกฉบับหนึ่งคือ หนังสือแจกในงานศพของนายทวี บุณยเกตุ ซึ่งท่านได้บันทึกเหตุการณ์เกี่ยวกับปัญหาเรื่องนี้ไว้ด้วยตัวเอง ว่าดังนี้
 .........ก็พอดีวันหนึ่ง จะเป็นวันที่เท่าใดข้าพเจ้าจำไม่ได้ แต่อยู่ในระหว่างวันที่ ๑ ถึงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๔๘๘ นายปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้โทรศัพท์เชิญข้าพเจ้า (นายทวี บุณยเกตุ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น)ให้ไปพบที่ทำเนียบท่าช้าง เมื่อข้าพเจ้าไปถึงก็ได้ส่งโทรเลขของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ให้ข้าพเจ้าอ่าน ซึ่งมีความเป็นทำนองหารือมาว่า หากประเทศไทยจะเสนอให้ข้าวแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรสัก ๑,๒๐๐,๐๐๐ ตัน หรือ ๑,๕๐๐,๐๐๐ (จะเป็นจำนวนไหนข้าพเจ้าจำไม่ได้ แต่แน่ใจว่าเป็นจำนวนหนึ่งใน ๒ จำนวนนี้) โดยไม่คิดมูลค่าจะได้หรือไม่ เพื่อแสดงอัธยาศัยไมตรี
เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านข้อความในโทรเลขดูตลอดแล้ว ก็วิตกกังวลมาก เพราะว่า การให้ข้าวโดยไม่คิดมูลค่าเป็นจำนวนมากเท่ากับการขายข้าวส่งออกนอกประเทศของเราในยามปกติตลอดปี มันเท่ากับเป็นค่าปรับสงครามนั่นเอง เพราะจะเป็นเงินมหาศาลสำหรับประเทศไทย คือจะเป็นเงินไม่น้อยกว่า ๒ พันล้านบาท
และนอกจากนั้นแล้วข้าวจำนวนนี้จะมีพอให้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ เพราะในระหว่างสงครามนั้น แม้ว่าเราจะไม่สามารถส่งข้าวไปขายยังต่างประเทศดังเช่นยามปกติก็ตาม แต่ทหารญี่ปุ่นก็ได้มากว้านซื้อเอาไปหมด ข้าพเจ้าจึงขอนำเรื่องไปหารือกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องก่อน นายปรีดี พนมยงค์จึงกล่าวว่า เรื่องนี้เราจะต้องรีบตอบ กว่าจะสอบสวนอาจจะเสียเวลานาน ฉะนั้นขอให้ข้าพเจ้าตกลงว่า ไหนๆอังกฤษและอเมริกาก็ทราบเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย และไหนๆม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ได้เสนอให้เขาไปแล้วก็ควรตอบไปว่า เห็นควรรับได้ในหลักการ ส่วนเรื่องจำนวนที่จะให้นั้น จะได้ตกลงพิจารณาในภายหลังจะได้หรือไม่? ข้าพเจ้าเห็นด้วย จึงยอมตกลงที่จะให้มีโทรเลขตอบไปเช่นนั้น
ข้าวจำนวน ๑.๒ ล้านตัน หรือ ๑.๕ ล้านตัน ที่จะให้แก่สัมพันธมิตรฟรีๆนั้น เป็นข้อเสนอของม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และได้ปรากฏอยู่ในความตกลงสมบูรณ์แบบข้อ ๑๔ (ความตกลงสมบูรณ์แบบ เป็นข้อตกลงที่ไทยลงนามกับอังกฤษเมื่อ ๑ มกราคม ๒๔๘๙ โดยรัฐบาล ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เพื่อชดเชยค่าปฏิกรรมสงครามให้กับอังกฤษภายใน ๑ กันยายน ๒๔๙๐)
แต่ต่อมาเมื่อท่านปรีดี พนมยงค์เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้แก้ปัญหานี้จากการให้ฟรีเป็นการซื้อขาย ดังปรากฏข้อเท็จจริงอยู่ในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญ) ครั้งที่ ๓๓ วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๔๘๙
ข้าพเจ้า (คุณดอม)ไม่ทราบว่าคุณวิมลพรรณ ปิตธวัชชัย ไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลให้รอบด้าน หรือจงใจบิดเบือนประวัติศาสตร์เพื่อให้เยาวชนคนรุ่นหลังเข้าใจผิด ข้าพเจ้าไม่ได้มีอคติต่อคุณวิมลพรรณ เป็นการส่วนตัว แต่ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนยืนยันสัจจะ ตามหลักฐานข้อเท็จจริงเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือน เพราะหนึ่งเป็นหน้าที่ของลูกที่จะสานต่องานเผยแพร่สัจจะของผู้เป็นพ่อ และสองเป็นหน้าที่ของประชาชนผู้รักสัจจะทุกคนที่ต้องช่วยกันเผยแพร่ความจริงนี้ออกไป เพื่อประโยชน์แห่งการศึกษาค้นคว้าของเยาวชนในอนาคต

 

อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ผู้นำกลุ่มนาซี ผู้นำในสงครามโลกครั้งที่ ๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น